ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย

เรื่อง...ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยสำหรับบางคนมันมีค่ามากกว่าที่คิด


มีเด็กหนุ่มนักศึกษายืนลังเลอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อลูกค้าออกหมดแล้ว เขาจึงเดินเข้าร้านสั่งอาหารด้วยอาการเขินอาย “ขอข้าวเปล่าถ้วยหนึ่ง ขอบคุณครับ”

เจ้าของร้านเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มไม่สั่งกับข้าวก็รู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร รีบตักข้าวพูนถ้วยส่งให้ เด็กหนุ่มจ่ายเงินพร้อมกับพูดด้วยเสียงเบาๆว่า
“ผมขอน้ำแกงราดบนข้าวสักหน่อยได้ไหมครับ?”
“ตามสบายเลยค่ะ ไม่คิดตังค์” เถ้าแก่หญิงพูด

เขากินไปได้ครึ่งถ้วย ก็สั่งอีกถ้วยหนึ่ง
“ไม่อิ่มใช่ไหม? ถ้วยนี้เดี๋ยวผมตักให้คุณมากหน่อย” เถ้าแก่พูดด้วยความเอาใจใส่
“ไม่ใช่ครับ ผมเอาใส่กล่อง พรุ่งนี้จะเอาไปกินที่มหาลัยนะครับ”
เมื่อเถ้าแก่ได้ยิน ก็เดาออกว่า เด็กหนุ่มคงมาจากต่างจังหวัด มาเรียนคนเดียว ฐานะที่บ้านคงไม่สู้จะดีนัก และคงจะทำงานแล้วก็เรียนไปด้วย ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงจะลำบากอยู่ไม่น้อย
เขาจึงตักเนื้อเคี่ยวซอสสำหรับราดบนข้าวใส่ไว้ที่ใต้กล่องข้าว จากนั้นก็เอาไข่ตุ๋นชาใส่ไปหนึ่งฟอง แล้วจึงตักข้าวอัดไปเต็มกล่อง มองดูแล้วเหมือนเป็นแค่ข้าวเปล่าธรรมดา
เมื่อภรรยาของเขาเห็นก็เข้าใจสามี ว่าต้องการช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ราดไว้บนข้าว จะใส่ไว้ใต้ข้าวทำไม?
สามีกระซิบกับภรรยาว่า “เด็กผู้ชายรักศักดิ์ศรี หากเขาเห็นว่าบนข้าวมีกับข้าว อาจรู้สึกอาย คราวหน้าเขาจะไม่กล้ามาอีก ถ้าไปกินร้านอื่นก็ได้กินแต่ข้าวเปล่า แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปเรียนหนังสือ !”
“สู้ๆนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่” เถ้าแก่พูดและโบกมือให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น ในคำพูดประโยคแฝงด้วยคำเชิญให้เด็กหนุ่มมากินข้าวที่นี่ใหม่ในวันพรุ่งนี้
จากนั้นเป็นต้นมา ช่วงค่ำทุกวัน เด็กหนุ่มก็จะมากินข้าวที่ร้าน สั่งข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยและข้าวเปล่าหนึ่งกล่องเอากลับบ้าน และใต้กล่องข้าวก็จะมีอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน จนเด็กหนุ่มเรียนจบปริญญาตรี
ผ่านไป 20 ปี ร้านนี้ไม่ได้ต้อนรับลูกค้าคนนี้อีกเลย
อยู่ๆทางการก็ส่งจดหมายมาว่าจะเวนคืนที่ร้านของเขา
สองสามีภรรยาอายุเริ่มสูงวัย ต่างก็กลัดกลุ้มใจไม่รู้ว่าชีวิตต่อไปข้างหน้าจะทำอย่างไร เงินที่จะได้จากทางการก็ไม่เพียงพอที่จะซื้อร้านที่มีทำเลดีอย่างนี้ได้อีก แล้วลูกๆที่กำลังเรียนอยู่จะหาค่าเทอมมาจากไหน? ต่างก็กอดกันร้องไห้ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตอย่างไรดี
เช้าวันหนึ่ง ชายแต่งกายภูมิฐานเข้ามาหาสองสามีภรรยา
“สวัสดีครับ ผมเป็นรองผู้จัดการบริษัท ผู้จัดการใหญ่ของเราต้องการให้คุณเข้าไปทำร้านอาหารในบริษัทของเราที่กำลังจะเปิดใหม่ในเร็วๆนี้ เรื่องค่าใช้จ่ายในการตกแต่งและอุปกรณ์ต่างๆในการทำอาหาร ทางเราจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขอเพียงคุณจัดหากุ๊กปรุงอาหารและบริหารงานก็พอ ส่วนกำไรแบ่งครึ่งกับบริษัทของเรา”

"ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเป็นใครกัน ทำไมเขาถึงดีกับเราอย่างนี้ เราไม่เคยรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมเลยสักคนเดียว?" สองสามีภรรยาต่างทำหน้างงๆ
“คุณทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณของผู้จัดการใหญ่ของเรา ท่านบอกว่าชอบกินไข่ตุ๋นชาและกับข้าวของร้านคุณมาก รายละเอียดผมทราบเพียงแค่นี้ นอกเหนือจากนี้คุณคงจะทราบได้เองเมื่อได้เจอกับท่าน”
เมื่อไปถึงบริษัท สองสามีภรรยาจึงรู้ว่า ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนี้ก็คือเด็กหนุ่มที่มากินข้าวเปล่ายามพลบค่ำทุกวันนั่นเอง หลังจบมหาวิทยาลัย ก็มุมานะสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถเปิดบริษัทใหญ่แห่งนี้ได้ เขาสำนึกบุญคุณที่สองสามีภรรยาให้ตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ หากไม่มีสองสามีภรรยาช่วยเหลือ เขาคงลำบากและไม่สามารถเรียนจนจบได้
เรื่องราวแต่หนหลังถูกรื้อฟื้นขึ้นในวงสนทนาเคล้าเสียงหัวเราะและน้ำตา
โลกนี้ยังมีความอบอุ่นอยู่เสมอ อ่านจบอย่าลืมมีนำใจเอื้อเฟื้อแก่คนรอบข้างด้วยนะครับ.. โอกาสบางอย่างเราเห็นแล้วแต่ไม่ชอบ ไม่สนใจ อย่าลืมแบ่งปันโอกาสกับคนอื่นๆ บ้าง บางที บางคน อาจสนใจ และโอกาสนั้นๆ อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้ครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม