เรียนจบแล้วไปไหน 2

บทความจริง การสนทนาจริง ที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนของคนยุคนี้ การศึกษาคืออะไร เรียนไปเพื่ออะไร ทัศนคติ มุมมองในการทำงาน นี่คือเรื่องจริงที่ทุกคนทราบ เคยพบเห็น แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดแบบชัดๆ ทั้งหมดเป็นบทความจากเพจอาจารย์สมเกียรติ www.facebook.com/somkiat.osotsapa

iStock_000019598360XSmall

คุยกับ kant บัณทิตวิศวะ จุฬา

ความเห็นของ Kant เป็นเรื่องจริงคนที่ยังไม่ทำงาน จะด่วนสรุปว่าเป็นคนหางานทำไม่ได้ทั้งหมดคงไม่ได้ เจาะลึกถามคนที่ยังไม่ทำงาน เกิน50% บอกว่าไม่ต้องการหางานทำ

สมัยนานมาแล้ว ในสังคมฝรั่ง คนทุกคนต้องทำงานเพราะพ่อ แม่ถือว่าหมดหน้าที่เลี้ยงดูเมื่อเรียนจบ ต่อให้บ้านรวยก็ต้องไปหาเลี้ยงชีพเอาเอง สังคมที่มีความซับซ้อน แตกต่างทางเศรษฐกิจสูงอย่างในเอเซีย ลูกและพ่อแม่รวมกันเป็นหนื่งกระเป๋า โดยเฉพาะครอบครัวลูกคนเดียว ที่มีอยู่มาก

เคยถามเด็กจุฬาหลายคนว่าจะทำอะไรต่อ มีคำตอบแปลกๆ อย่างจะขับรถให้แม่ กินข้าวกับแม่ แม่หนูทำธุรกิจ รายได้เยอะ ดีกว่าหนูไปทำงานบริษัท ช่วยจำ คุย แล้วสรุปว่าหนูคงมีอาชีพเป็น consultant ของแม่ เงินเดือนตามที่อยากได้ แม่อารมณ์ดีก็ได้เยอะ ฮ่า
หลายคนบอกว่าเตรียมสอบ GRE GMAT TOEFL รอสมัครมหาวิทยาลัยใช้เวลา สักปีกว่า ไม่ทำงานค่า

บางคนบอกว่า จะไปอยู่บ้านคุมไม่ให้พ่อมีกิ๊ก ลดรายจ่าย เท่ากับรายได้เพิ่มเดือนละแสน
หลายๆคนบอกว่า จะทำธุรกิจค่า ต้องนั่งดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน แนวนี้เชื่อว่าทำไม่กี่โครงการในชีวิต สำเร็จก็อยู่ได้

อีกหลายคนนั่งรอcycle หุ้นขาลง กะจะทำ 10 เท่า ไปทำงานไม่มีเวลาติดตาม ที่บอกว่า อยู่บ้านดูแลพ่อ แม่ ปู่ ย่า ยิ่งปู่ ย่า อายุยืนเท่าไหร่ รายได้จากบำนาญ การบริหารทรัพย์สินยิ่งมาก ใช้ชาวบ้านทำงานนั่นแหละ ก็มีมาก

ยุคนี้หลายครอบครัวอยู่ได้ โดยอาศัยการเพิ่ม รายได้จากทรัพย์สินเช่น ที่ดิน ตึกแถว หุ้น ทอง กองทุน เป็นแนว 3generations

สาวสวยคนหนื่ง มีแฟนอายุ 30 บอกว่าไม่ทำงานค่า จะแต่งงานมีลูก แฟนบอกว่าจะยกเงินเดือนๆละ สี่หมื่นกว่าให้หมด แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านหนู เดือนละสี่หมื่นกว่าไม่เลวค่า จะให้เค้าใช้วันละ 300 พอ นี่ก็อีกแนว สงสารแฟนมัน

ยุคนี้คนจำนวนมากไม่ใช่แรงงาน ที่ต้องรับงานจ้างเป็นเดือน กลายเป็นโมเดลครอบครัวที่หลากหลายมาก นักเรียนเอแบก กรุงเทพหลายคนก็ออกแนวนี้แหละ ธรรมศาสตร์ใช้นักเศรษฐศาสตร์ทำรายงาน แยกคนที่ไม่ต้องการหางานทำออกหมด แล้วประกาศว่า มธ มีงานทำ 100 %

คนเรียนมหาวิทยาลัยยุคนี้ จึงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก เรียนเพื่อรักษาสถานะของครอบครัว รักษาสมบัติให้อยู่รอด ดูดีในสังคม หาอะไรที่พอใจในชีวิตทำ ไม่ใช่คู่แข่งในตลาดแรงงาน

กลุ่มที่สอง เรียนเพื่อยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของตนเอง และครอบครัวต้องการงานเงินเร็ว รายได้สูง

โมเดลของคุณชัดเจนมั้ย จบวิศวกรรมออกไปทำงานอะไร

40-50 เปอร์เซนต์ออกไปทำงานที่อยู่ใน chain เรียกว่า engineering related occupations เช่น เป็นนายแบงค์ ตลาดหลักทรัพย์ ผู้บริหารบริษัท บริษัทที่ปรืกษา ทำกิจการอสังหาริมทรัพย์ ส่งออกสินค้า ทำธุรกิจส่วนตัวซื้อ ขาย โน่น นี่ ตั้งโรงงานเอง ง่ายๆเช่น ผลิตถุงดำ เอาว่ากระจายทั้งภาค การเงิน หลักทรัพย์ อาหาร น้ำ อสังหา ขนส่ง โรงงาน การบิน การเดินเรือ อาจารย์

อีก 25 เปอร์เชนต์เป็นพวกขายของ เครื่องจักร เทคโนโลยี่ ขายวัตถุดิบ เช่น ปูน เหล็ก หิน สี รถ

อีก 25-30 เปอร์เซนต์ทำงาน engineer จริงๆ เช่น สร้างทาง ทำรถไฟฟ้า งานพลังงาน ระบบไฟฟ้า สายการผลิต

ก็เป็นมาแบบนี้ร่วม50-60 ปี ทำไมวิศวกร จึงไปทำงานอื่นหลากหลาย การปล่อยกู้โครงการขนาดใหญ่ของธนาคาร เช่น สร้างเขื่อน โรงไฟฟ้า ถนน นิคมอุตสาหกรรม การผลิตอะไรที่ต้องกู้สักห้าพันล้าน ส่งออก นำเข้า อสังหาริมทรัพย์ ตั้งโรงงาน ของพวกนี้ วิศวะเข้าใจระบบ มองเห็นประเด็น สายอื่นมองไม่ออก เกือบ 75 เปอร์เซนต์ของเงินกู้ทั้งระบบ งานมูลค่าสูง ตำแหน่งก็ใหญ่ ขื้นผู้บริหารง่าย ไปเยี่ยมลูกค้าบ่อยๆ เค้าก็ชวนไปบริหาร จับเป็นลูกเขยก็มาก นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ก็เยอะ ก็กำไร ขาดทุน ของบริษัทพวกนี้รู้ เลยรวยจากหุ้นกันมาก

kamt ตอบ
เห็นด้วยเลยครับ พี่อธิบายได้แจ่มชัดมาก เพื่อนๆผมส่วนมากเป็นอย่างนี้เลย ส่วนคนที่บ้านไม่มีธุรกิจก็จะทำงานจนถึงจุดนึงก็จะลาออกมาทำอย่างอื่น บางคนมาตั้งธุรกิจเอง บางคนเอาเงินมาลงทุนในหุ้น ตอนนี้เหลือเพื่อนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนแค่ประมาณ 10-20% นี่ขนาดพวกผมอายุยังไม่เยอะนะครับ

อย่างรายล่าสุดลาออกจากเชฟรอนเงินเดือนแสนกว่าบาท ออกมาทำธุรกิจเอง เห็นบ่นว่าเหนื่อยและเบื่อ ทั้งที่คนนี้เรียนโทสองใบ นับเวลาเรียนในมหาวิทยาลัยเกือบสิบปี ก็ทนเรียนได้ แต่มาทำงานกลับทำได้ระยะเวลาสั้นกว่า สังคมมันค่อยๆเปลี่ยนไปจริงๆครับ

ผมว่าเด็กวิดวะมหาลัยอื่นไม่เหมือนจุฬาครับ อย่างเกษตรนี่เห็นไปทำงานรัฐวิสาหกิจกันเยอะ ในกฟน.กฟผ.กปน. จะมีเด็กเกษตรเยอะ เหมือนๆชวนกันเข้าไป ในขณะที่เด็กจุฬาจะไม่รับราชการหรืออยู่รัฐวิสาหกิจเลยครับ ส่วนที่ว่าเด็กวิดวะไปทำงานได้หลากหลาย อันนี้เห็นด้วยครับ

จริงๆผมว่าที่เรียนกันในมหาลัยเอาไปใช้ในวิชาชีพจริงๆน้อย ใช้ทักษะอย่างอื่นมากกว่า อีกคณะที่เห็นชัดคือ เด็กอักษรครับ เด็กคณะนี้ส่วนมากต้องไปต่อโทบริหารกัน แล้วก็ไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่ภาษาศาสตร์ แล้วเค้ามาเลือกเรียนทำไม ทำไมไม่ไปเรียนเศรษฐศาสตร์หรือบัญชีตั้งแต่ต้น ผมว่ามันเป็นค่านิยมอ่ะครับ เอาไว้เจอเด็กอักษรจะลองถามๆเจาะประเด็นพวกนี้ดูครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม