10 เทคนิคการเขียนเพื่อความสำเร็จ

10 เทคนิคการเขียนเพื่อความสำเร็จ

การเป็นฟรีแลนซ์หรือทำงานอิสระ หรือจะขายอะไรสักอย่าง มีหลักการมากมายให้คุณเรียนรู้ แต่ประเด็นสำคัญคือทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้จักคุณ ทำอย่างไรให้คุณสามารถสื่อสาร นำเสนอออกไปได้อย่างตรงเป้า ตรงประเด็น และได้ผลลัพธ์ดังที่คาดหวัง

77096_success_wallpaper_1440x900

1: เว็บไซต์ของคุณต้องมีหัวข้อเรื่อง

ก่อนอื่น เดิมทีผมคิดว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะดูก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว  แต่หลังจากได้ไปสุ่มสำรวจตัวอย่างตามเว็บไซต์ต่างๆ กว่า 40 แห่งทั้งในบ้านเราและเว็บไซต์ของต่างประเทศแล้ว ผมพบว่ามีเพียงเว็บไม่กี่แห่งเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากกฏง่ายๆ ข้อนี้!

คุณทราบมั้ยครับว่า บริษัทส่วนใหญ่ใช้หัวข้อเรื่อง (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนท่องเน็ตจะเห็นเป็นอันดับแรกสุดบนเว็บไซต์นั้น) อะไรมากที่สุด?   คำตอบที่น่าเศร้าก็คือ... ชื่อของบริษัทตนเอง!

อึม... เรื่องนี้มันทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่มาก   อันดับแรกสุด อย่างที่ผมบอกไว้แต่ต้นว่า บนอินเตอร์เน็ตคนส่วนใหญ่มักจะอยู่ไม่สุขและมีอาการคันมืออยู่ตลอดเวลา พวกเขามักจะหมดความสนใจอย่างรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที! และจะคลิ๊กไปที่ปุ่ม Back button (ย้อนกลับ) บนเบราเซอร์เพื่อย้อนกลับไปยังที่ที่พวกเขาเข้ามา

ดังนั้น เพื่อที่จะจับพวกเขาให้อยู่หมัด คุณต้องมีหัวข้อเรื่องที่ตอกย้ำกลุ่มเป้าหมายของคุณด้วยประโยชน์หลักที่พวกเขาจะได้รับจากการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ   คุณต้องทำให้พวกเขาเชื่อว่า ในเว็บไซต์ของคุณยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ข้างในอีกมาก และด้วยธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็น จะทำให้พวกเขาสนใจและติดตามที่จะเข้าไปค้นหาต่อ

ถ้าหัวข้อเรื่องของคุณไม่ได้บ่งชี้ถึงคุณประโยชน์และคำมั่นสัญญาที่ผู้เข้าชมจะได้รับเช่นนี้ คุณต้องยอมเสียเวลาสักชั่วโมงเพื่อปรับแต่งหัวข้อเรื่องของคุณซะใหม่ ให้มันดูน่าสนใจมากกว่านี้  

คุณต้องแสดงให้กลุ่มเป้าหมายของคุณรู้สึกว่า ยังมีสิ่งอะไรบ้างที่น่าสนใจสำหรับพวกเขาอยู่ข้างใน ถ้าพวกเขายังคงอยู่ต่อไปในเว็บไซต์ของคุณ  และทำให้พวกเขารู้สึกว่า พวกเขาจะพลาดข้อมูลอะไรบางอย่างไปอย่างแน่นอน ถ้าพวกเขาไม่เข้าไปเปิดดูในเว็บไซต์ทั้งหมดของคุณ

 

2: ผู้เข้าชมเข้ายากออกง่ายและเร็ว

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างบทความในเว็บและบทความในหนังสือธรรมดาทั่วไปก็คือ ผู้เยี่ยมชมจะเป็นผู้ควบคุมเองทั้งหมดว่าพวกเขาจะไปเข้าไปดูที่เว็บไซต์ของคุณได้อย่างไร   จากการที่พวกเขาเข้ามาดูได้หลายทาง และโอกาสสำหรับผู้เยี่ยมชมที่จะคลิ๊กไปยังพื้นที่อื่นในเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องไม่ปิดโอกาสในการควบคุมจุดนี้

ในความหมายนี้ เว็บไซต์ของคุณก็เหมือนกับวารสาร   ผู้เยี่ยมชมค้นหาหัวเรื่องที่พวกเขาสนใจ แล้วก็คลิ๊กเข้าไปดู, พวกเขาสามารถอ่านได้นานเท่าที่ต้องการแล้วก็คลิ๊กออกไปยังที่อื่น  และที่อื่นนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในไซต์ของคุณก็ได้

เพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในจุดนี้ มีอยู่สองสิ่งที่คุณสามารถทำได้  

อันดับแรก ต้องแน่ใจว่าที่หน้าโฮมเพจของคุณมีตัวเลือก "ที่ล่อใจ" อยู่ด้านบน    ผมหมายความว่า คุณต้องหาเหตุผลสัก 2 - 3 อย่างเพื่อผลักดันให้ผู้เข้าชมของคุณคลิ๊กผ่านเข้าไปดู - และคุณต้องวางพวกนี้ไว้ที่ด้านบนของโฮมเพจ

สิ่งที่สองที่คุณสามารถจะทำได้ก็คือ ให้ใส่ลิงค์ไปยังเว็บเพจที่สำคัญซ้ำๆ กันบนทุกเพจในเว็บไซต์ของคุณ   ทำเช่นนี้ให้ดูเหมือนเป็นธรรมชาติไปยังเพจที่คุณชอบ   คุณจะแปลกใจที่พบว่ามีเว็บไซต์เป็นจำนวนมากที่มองข้ามเทคนิคง่ายๆ พวกนี้

ถ้าคุณไม่ได้ใช้เทคนิคง่ายๆ นี้กับผู้เข้าชมเพื่อให้เข้าไปยังเว็บเพจที่สำคัญที่สุดของคุณ (จากทุกแห่งในเว็บไซต์ของคุณ) ผลลัพธ์จะคาดการณ์ได้เลยว่า: พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าคุณต้องการให้พวกเขาเห็นอะไร

 

3: ทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการดูและเข้าใจ

ผู้เยี่ยมชมที่เข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณกำลังประเมินเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ — พวกเขากำลังประเมินและพิจารณาดูว่า ควรจะอยู่ที่เว็บไซต์ของคุณนานขึ้นหรือจะคลิ๊กออกไปยังเว็บไซต์อื่นต่อ   ดังนั้น เพื่อที่จะรั้งพวกเขาไว้ไม่ให้ออกจากเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องทำสองสิ่งต่อไปนี้

ต้องทำให้แน่ใจว่า เนื้อหาบทความของคุณมีคุณค่าจริงกับผู้เยี่ยมชมของคุณ   ถ้าทำได้เช่นนี้ รับประกันได้เลยว่าพวกเขาจะอยู่ที่เว็บไซต์ของคุณนานขึ้น เพื่อค้นหาดูว่ามีบทความไหนที่พวกเขายังไม่ได้เข้าไปดูบ้าง

ใส่ลิงค์ไว้ในบทความของคุณไปยังหน้าเพจอื่นในเว็บไซต์ของคุณ  คุณควรจะนำเสนอทางเลือกหลายทางในการเข้าไปดูหน้าเพจอื่นในเว็บไซต์ของคุณ ที่คุณอยากจะให้พวกเขาเห็น   ประเด็นสำคัญที่ทำเช่นนี้ก็คือ การผลักดันเพื่อให้พวกเขาคลิ๊กบนลิงค์นั้น

ยกตัวอย่าง ถ้าผมได้สร้างบทความเกี่ยวกับการโปรโมตเว็บไซต์บางประเด็น (สมมุติเป็นบทความที่ 1), ผมอยากจะบอกผู้อ่านว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับการโปรโมต (เป็นบทความที่ 2 ที่มีรายละเอียดมากขึ้นมาก) ที่เขาสามารถจะเข้าไปดูได้   ผมก็จะใส่ลิงค์ในบทความที่ 1 เพื่อให้ลิงค์ไปยังบทความที่ 2 ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการโปรโมตมากขึ้นที่ผมต้องการจะเสนอขายให้แก่พวกเขา

 

4: เขียนบทความจากมุมมองของผู้อ่าน

เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมให้อยู่ในระดับสูงสุด บทความของคุณจึงต้องเขียนจากมุมมองของพวกเขา   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่ามีอะไรในเว็บไซต์ที่จะมีประโยชน์สำหรับพวกเขา?   พวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรจากการอ่านบทความของคุณ?   ปัญหาสำคัญอะไรบ้างที่คุณสามารถจะแก้ไขให้พวกเขาได้?   คุณทำให้ชีวิตของพวกเขาสะดวกสบายขึ้นจากเดิมหรือไม่อย่างไร?   พวกเขาได้รับความเพลิดเพลิน, ได้ความรู้, ได้สาระอะไรจากการอ่านบทความของคุณ?

สิ่งเหล่านี้เป็นความจำเป็นและความต้องการขั้นพื้นฐานที่ทุกคนร้องหา   ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้คนเข้ามาเยี่ยมชมที่เว็บไซต์ของคุณ

เวลาเป็นสิ่งมีค่า   มีน้อยคนมากที่จะยอมเสียเวลาไปกับเว็บไซต์ที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระโดยตรงต่อพวกเขา   ภาษาที่เขียนนั้นต้องสะท้อนให้เห็นความสนใจหลักๆ และมุมมองของพวกเขา   ถ้าคุณพลาดด้วยการเขียนจากความสนใจของตัวคุณเอง (สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ หรือบริษัทของคุณมากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าชมของคุณ) ผมแทบจะการันตีได้เลยว่า ผู้เข้าชมของคุณจะให้เวลากับเว็บไซต์ของคุณน้อยมาก

 

5: ทำบทความสั้นหรือยาวดีกว่ากัน

ถ้าคุณไปดูที่เว็บไซต์หลายแห่งของต่างประเทศ คุณจะได้พบกับหัวเรื่องที่พูดถึงกันบ่อยเรื่องหนึ่งคือ "บทความที่ยาวบนเว็บไซต์ น่าสนใจและใช้งานได้ผลจริงหรือ?"    และจากผลการเสวนา ก็สรุปกันได้ว่า มันใช้งานไม่ได้ผล — สิ่งที่ตามมาก็คือ คุณก็จะได้เห็นเว็บไซต์จำนวนมากที่มีบทความการขายที่สั้นเพียงไม่กี่ประโยค — นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์!

ถ้าคุณเชื่อเรื่องนี้ด้วย คุณก็กำลังทำความผิดพลาดให้กับธุรกิจและตัวคุณเองด้วยเช่นกัน   ความจริงก็คือว่า บทความที่ยาวทำงานได้ผลดี (อย่างไม่มีข้อยกเว้น) บนเว็บไซต์ — แต่มันต้องใช้กลวิธีในการเข้าถึงที่แตกต่างกันออกไป   วิธีนี้ผมขอเรียกว่า กลยุทธ "สั้น - สั้น - ยาว - ยาว" (Short-short-long approach).

ก่อนที่ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่ากลยุทธในการเข้าหาวิธีนี้ทำงานได้ผลอย่างไร   ผมต้องการให้คุณเข้าใจเสียก่อนว่า ทำไมมันถึงใช้งานได้ผลดี  — เมื่อมีคนเข้าไปที่ไซต์ของคุณ การเปิดดูผ่านๆ เพียงไม่กี่ครั้งในตอนแรกที่เข้าไปถึงนี้ เพื่อต้องการประเมินดูว่า ที่เว็บไซต์ของคุณมีสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขาอยู่หรือไม่

ผู้เข้าเยี่ยมชมจะเลื่อนดูโฮมเพจของคุณ ค้นหาลิงค์ที่พวกเขาสนใจ แล้วก็คลิ๊กเข้าไปดู   จากนั้นพวกเขาก็จะอ่านเพียงเล็กน้อยในสิ่งที่คุณนำเสนอและถ้ามันมีค่าและมีประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาก็จะคลิ๊กไปยังลิงค์อื่นที่นำไปสู่เพจอื่นๆ ต่อไปในเว็บไซต์ของคุณ   ขณะที่พวกเขาเข้าไปยังเพจที่คุณนำเสนอ พวกเขาก็จะทำขบวนการที่เหมือนกันนี้ซ้ำๆ กันบ่อยเท่าที่คุณยังคงทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผ่านการประเมินของพวกเขา

นี่เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการเข้าไปดูตามเว็บไซต์ทั่วไป   ถ้าคุณพยายามฝืนมัน คุณจะทำลายการขายของคุณเอง   แต่ถ้าคุณได้รวมมันเข้าไปไว้ในบทความของคุณด้วย มันจะสามารถทำงานได้อย่างน่าทึ่งให้กับยอดขายของคุณ

"Short-short-long" approach ได้จัดเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการเข้าดูเว็บเพจ   ดังนั้น  สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการนำเสนอบทความเป็นตอนสั้นๆ ในช่วงต้นๆ ของเว็บเพจเพื่อให้สอดคล้องกับการอ่านอย่างลวกๆ ของพวกเขา (เพื่อประเมินความน่าสนใจ) และยิ่งเพิ่มความยาวของบทความก็จะยิ่งมีผู้เข้าชมเข้ามาดูในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น

ถ้าบทความของคุณแต่ละตอนยาวเกินไป ผู้อ่านจะรู้สึกล้า ไม่อยากจะอ่านและคิดว่ามันน่าเบื่อ ทำให้พวกเขาขาดความสนใจ และในที่สุดก็ออกจากเว็บไซต์ของคุณไป

บทความที่ยาวเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับผู้อ่าน ด้วยเหตุนี้ คุณจึงต้องทำให้มันดูน่าสนใจ ด้วยการแบ่งซอยบทความเป็นตอนสั้นๆ เพื่อที่จะนำพาพวกเขาเข้าไปยังจุดหมายที่คุณต้องการ  นี่เป็นสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างมากต่อการขายสินค้าหรือขายบริการของคุณ    

คนส่วนใหญ่ไม่เคยเบื่อที่จะได้ยินหรือรับรู้สิ่งที่ดีๆ ทุกเรื่องที่คุณสามารถจะทำให้กับพวกเขาได้   เมื่อคุณรู้เคล็ดลับดังที่กล่าวนี้แล้ว บทความที่ยาวนี้จะเป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่มยอดขายบนเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ!

 

6: ทำให้ง่ายในการเข้าถึงสิ่งที่คุณต้องการนำเสนอ

ถ้าคุณกำลังอ่านบทความนี้ วัตถุประสงค์หลักของคุณก็เพื่อขายสินค้าหรือบริการของคุณให้ได้มากขึ้นบนเว็บไซต์   หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นก็คือ การเสนอให้กลุ่มเป้าหมายของคุณมีหลายช่องทางที่แตกต่างกันในการเข้าถึงบทความขายสินค้าของคุณ

ผมได้พูดครอบคลุมเรื่องนี้มาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึง: การจัดให้มีลิงค์ไปยังเว็บเพจสำคัญทั้งหมดไว้บนทุกเพจในไซต์ของคุณ; ใส่ลิงค์ลงในบทความของคุณ; และใช้ "Short-short-long" approach technique.   นี่เป็นเทคนิคเพิ่มเติมไม่กี่ตัวที่ทำขึ้นมาเพื่อให้แน่ใจว่า ในที่สุดแล้วผู้เข้าชมของคุณได้เข้าถึงจุดหมายปลายทางที่คุณต้องการให้พวกเขาเข้าไปถึง

ไม่เพียงแต่คุณจะมีลิงค์ไปยังทุกเพจเท่านั้น แต่ในบางครั้งคุณควรจะใช้คำที่ต่างกันพร้อมทั้งมีลิงค์ไปยังเพจขายสินค้าหรือบริการอันเดียวกันด้วย   ต่างคนต่างก็มีปุ่มเลือกที่ชอบต่างกันออกไปที่จะทำให้พวกเขากดคลิ๊กเข้าไปดู   ถ้าคุณมีสินค้าหรือบริการสำคัญอยู่ตัวหนึ่งที่คุณต้องการให้ผู้เข้าชมทุกคนเข้าไปดู  ผมแนะให้คุณรวมลิงค์แบบต่างๆ ที่เชื่อมไปยังสินค้าหรือบริการนั้น ซึ่งลิงค์พวกนี้อาจจะอยู่บนเพจเดียวกันหรือจะอยู่ต่างเพจกันก็ได้

คุณควรจะรวมลิงค์สำคัญไว้ใน e-Zine (แมกกาซีน) ของคุณด้วยถ้าคุณมี   และถ้าคุณยังไม่มี ก็ให้พิจารณาอย่างจริงจังซะทีที่จะมี e-Zine สักฉบับเป็นของคุณเอง   เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มผู้คาดหวังของคุณ และเป็นการสร้างเครดิตให้กับตัวคุณเองด้วย รวมทั้งสินค้าหรือบริการของคุณ

และสุดท้าย อย่าลืมเวลาที่คุณตอบอีเมล์กลับไปหาผู้ที่คาดหวังของคุณ ให้ใส่ข้อมูล (หรือลิงค์) ของคุณเพื่อแสดงให้ผู้ที่คาดหวังของคุณรู้ว่าจะได้ประโยชน์มากแค่ไหนในการทำธุรกิจกับคุณ

คนทั่วไปท่องเว็บไซ์ของคุณตามที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่ตามที่คุณต้องการให้เขาทำ   หลายครั้งพวกเขาอาจจะไม่ได้เห็นบางประเด็นที่สำคัญในไซต์ของคุณ ซึ่งคุณอยากจะให้พวกเขาได้เห็น   การใส่ข้อความสั้นๆ หรือลิงค์ใน SIG file ของคุณจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้และผลที่ตามมาจะเป็นเงินหลายหมื่นจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น

 

7: เน้นข้อความสำคัญเท่าที่จำเป็น

ในบทความของคุณถ้าคุณต้องการจะเน้นข้อความสำคัญให้ผู้อ่านของคุณรับรู้ ให้เน้นเท่าที่จำเป็นมากที่สุด หรือถ้าคุณจะใช้สีเพื่อเน้นข้อความก็ไม่ควรให้มีมากกว่า 2 สี ซึ่งรวมไปถึงสีฟอนต์ตัวอักษร แต่ถ้าจำเป็นอาจจะให้ถึง 3 สีก็ได้   ถ้ามากกว่านี้มันจะทำให้ไซต์ของคุณดูไม่เหมือนมืออาชีพ!   กลายเป็นแฟนซีไปและดูแล้วไม่น่าสนใจเอาซะเลย   นอกเหนือจากนี้แล้ว ถ้าคุณยังเน้นข้อความมากมาย สุดท้ายแล้วผู้อ่านของคุณจะไม่รู้เลยว่าอะไรที่สำคัญ!

แต่ถ้าคุณทำเว็บไซต์สำหรับให้เด็กเล็กถึงวัยรุ่นอาจจะใช้หลายสีได้ รวมทั้งภาพกราฟฟิกมากมายได้ เพื่อดึงดูดความสนใจ  

สำหรับผมนิยมใช้อักษรตัวหนา และเน้นบางข้อความด้วยแถบสี หรืออาจจะเป็นตัวอักษรสีก็ได้ ซึ่งจะทำให้ไซต์น่าอ่าน และดูว่าเป็นมืออาชีพมากกว่า

 

8: อย่าให้มีสิ่งอื่นใดมาดึงความสนใจของผู้อ่าน

คุณอุตส่าห์ดิ้นรนสุดฤทธิ์เพื่อดึงคนให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณให้ได้มากที่สุด และพยายามอดตาหลับขับตานอนค้นคว้าเพื่อเขียนบทความที่น่าสนใจขึ้นมา แต่แล้วคุณกลับมีสิ่งล่อใจมากมายที่จะเบนความสนใจผู้เข้าชมของคุณให้ออกจากบทความของคุณ   ทำให้ผู้เข้าชมของคุณไม่อาจจะเข้าถึงวัตถุประสงค์หลักของบทความที่คุณเขียนขึ้นมาได้ — ช่างน่าเสียดายจริง!

สิ่งล่อใจเหล่านี้อาจจะเป็นแบนเนอร์โฆษณา, ลิงค์ที่ไม่จำเป็น และอื่นๆ ที่จะทำให้ผู้เยี่ยมชมของคุณหมดความสนใจในบทความของคุณได้ — นั่นถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์!  

ทำไมละครับ...

คุณต้องทุ่มเทเวลาและเงินทองของคุณเพื่อดึงทราฟฟิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ แต่แล้วคุณกลับยอมส่งพวกเขาไปยังเว็บไซต์อื่นเพียงเพื่อแลกกับรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น — มันคุ้มกันแล้วหรือ?  

ถ้าคุณคิดจะสร้างเว็บไซต์ดีๆ ขึ้นมาสักอัน แน่นอน... คุณไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการเขียนบทความ, newsletter หรือแม้แต่ sales copy ไปได้   ถ้าคุณเขียนไม่ได้ อย่าคิดจะทำเว็บไซต์เลยครับ เพราะคุณจะทำเงินจากมันไม่ได้เลย เหนื่อยเปล่าครับ!   และถ้าคุณคิดว่า คำพูดบรรยายสินค้าเพียง 2 - 3 บรรทัด ก็ทำให้คนทั่วไปซื้อสินค้าจากคุณได้ — คุณคิดผิดแล้วครับ!

 

9: สละเวลาเรียนรู้หลักการ SEO สักนิด ชีวิตจะสนุกขึ้น

Title หัวเรื่องของบทความ ใช้คำให้กระชับ อย่าเยิ่นเย้อ สำคัญคือ ใช้คีย์เวิร์ดมาเป็นหัวเรื่องด้วยก็จะดีมาก เรียนรู้การใช้คีย์เวิร์ดให้ถ่องแท้ครับ เพื่อจะได้มีความชำนาญในการนำคำจากคีย์เวิร์ดมาผสมเป็นหัวเรื่องของบทความ 

Description หรือ Summary ผมจะไม่พูดถึง permalink และ meta ต่างๆนะครับ เรื่องเหล่านี้อยากให้เพื่อนๆลองไปศึกษาเพิ่มเติม ผมจะพูดถึงแค่ความสำคัญของ Description หรืออีกคำที่มีความหมายเดียวกันคือ Summary มันจะมีประโยชน์มากเวลาที่เพื่อนๆนำไปโพสตามเว็บ Submit Article เพราะจะมีช่องให้ใส่เรื่องย่อๆ ประมาณ 2-3 บรรทัด ให้ตระเตรียมเอาไว้นะครับ เพราะเพื่อนๆจะต้องนำไปซับมิทแน่นอน

รูปประกอบ อันนี้สำคัญมากอีกเช่นกัน ควรมีรูปประกอบครับเพื่ออรรถรส และการอ่านสัญลักษณ์จากรูปภาพ ก็เป็นกลวิธีการอ่านเชิงจิตวิทยาของคนเราครับ เพราะฉะนั้น หารูปประกอบที่เข้ากับบทความของคุณ แล้วนำมาใส่ในบทความด้วยครับ

Keyword สำคัญมาก (อีกแล้ว) พยายามศึกษาเรื่องของคีย์เวิร์ด จากนั้นลองเลือกคำที่เป็นคีย์เวิร์ดออกมาครับ และจะต้องเป็นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับบทความนะครับ อีกประการคือ อย่าใส่คีย์เวิร์ดจนเยอะเกินไป มันไม่เป็นผลดีต่อบทความของคุณครับ

ลงมือเขียนแล้วตรวจสอบ เมื่อเพื่อนๆเขียนบทความเรียบร้อย โพสลงบล็อกเรียบร้อย ขอให้เข้าไปเช็คอีกครั้ง โดยเข้าไปเช็คจากหน้าเว็บบล็อกจริงๆนะครับ ให้เสมือนเป็นผู้อ่านทั่วไป จากนั้นดูจุดบกพร่องว่าควรจะแก้ไขหรือเสริมแต่งอะไรบ้าง เช่นในเรื่องของการจัดหน้า การจัดตำแหน่งรูป หากอ่านทวนได้อีกรอบก็จะดีมากครับ เรียกว่า พิสูจน์อักษร เพื่อตรวจทานคำผิด คำซ้ำ คำฟุ่มเฟือยต่างๆ การทวนในลักษณะของการเป็นผู้อ่าน จะทำให้คุณพบว่ามันจะได้อีกอารมณ์หนึ่ง บางครั้งในตอนที่เขียนบทความ อาจจะรู้สึกว่าดีแล้ว แต่เมื่อมาทดลองให้เสมือนตัวเองเป็นนักอ่าน กลับพบข้อบกพร่องบางอย่าง การตรวจสอบนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้คุณได้บทความที่ดีสุดสำหรับบล็อกของคุณครับ

อย่าลืม Share เพื่อนๆอุตส่าห์ทำเมนูอาหารแสนอร่อย ถ้าไม่แบ่งปันให้เพื่อนบ้านชิม ก็ไม่มีใครได้อิ่มรู้กับรสชาติอาหารของเพื่อนๆ อย่าลืมที่จะแบ่งปันผ่านระบบ Share ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Social Network, Submit Bookmark, Submit Article, บอกต่อคนรู้จัก, หรือวิธีการใดก็ตาม ไม่ต้องอายครับถ้าเพื่อนๆจะป่าวประกาศให้ผู้คนได้รู้จักบล็อกไฉไลของเพื่อนๆ เอง 

จำไว้ว่าอย่าขาย แน่นอนครับ อย่าหลงประเด็นในการทำการตลาด คุณอย่ามุ่งหวังที่จะขายของมากเกินงาม บล็อกที่คุณสร้างขึ้นมา มันจะเป็นเครื่องมือให้คุณได้นำเสนอตัวเองต่อผู้คนนับล้าน มันเหมือนงานเลี้ยงสังสรรค์ขนาดใหญ่ ระหว่างคนที่นำสินค้ามาขายแขกในงาน กับคนที่นำเรื่องราวที่น่าสนใจมาเล่าให้คนอื่นฟัง คุณคิดว่าคนแบบไหนน่าคบหามากกว่ากันครับ 

ทำไมจึงบอกว่าชีวิตจะสนุกขึ้น เพราะว่าถ้าบทความของคุณ บล็อกของคุณมีคนเข้าชมมากมาย คุณจะสนุกกับงานมากขึ้นแน่นอน ตามหลักความต้องการของมนุษย์ของมาสโลว์ ความต้องการขั้นบนสุด คือการต้องการให้คนรัก ให้คนชอบ การต้องการเป็นคนมีชื่อเสียง นี่คือสาเหตุที่มีคนเขียนบทความดีๆมากมายโดยไม่หวังผลตอบแทน เขาต้องการแค่การกด like หรือ คอมเมนต์เล็กน้อย

แต่กับงานฟรีแลนซ์แล้วทักษะการเขียน การทำเว็บไซต์ แทบจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จให้คุณได้เลย เพราะไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน ถ้าขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี ขาดการตลาดที่ยอดเยี่ยม คงไม่มีใครหาขั้นเทพในสายงานอย่างคุณเจอแน่นอน

 

10. มีชื่อก็หาเงินได้เสมอ

การมีชื่อในที่นี่มีสองความหมายครับ และมีความสำคัญทั้งสองส่วน ชื่อแรกคือการมีชื่อเสียง ชื่อหลังคือการมีลิสต์รายชื่อ

มีชื่อเสียงบ้างอะไรๆก็ง่ายขึ้น

คุณไม่จำเป็นต้องมีชื่อเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ขอให้มีชื่อเสียงที่ดีในวงการของคุณก็เพียงพอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรการมีชื่อเสียงจะทำให้ได้รับการยอมรับ ได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ยิ่งในยุคออนไลน์ที่งานหลายอย่างแทบจะไม่ต้องพบปะกันเลย ซื้อของ ขายของ จ้างงานกัน ผ่านระบบออนไลน์ หาข้อมูลกันและกันผ่านกูเกิล คุณต้องใส่ใจเรื่องการสร้างแบรนด์ทั้งของสินค้า บริการ และที่มักละเลยไปคือ แบรนด์ของตัวคุณเอง

เก็บรายชื่อแล้วสร้างคุณค่าต่อเนื่อง

เทคนิคการเก็บรายชื่อมีมากมาย คุณต้องหาทางเรียนรู้ต่อไป list building คือการสร้างคุณค่าให้กลุ่มเป้าหมาย แล้วเขายอมมาเป็นสมาชิกหรือยอมให้อีเมลกับคุณ หน้าที่คือคุณต้องสร้างคุณค่าต่อเนื่อง สร้างความไว้วางใจ เมื่อถึงเวลาไม่ว่าคุณจะนำเสนอสิ่งใด คนในลิสต์ของคุณก็พร้อมจะสนับสนุน ไม่ว่าจะช่วยซื้อ หรือบอกต่อ อย่าปล่อยให้คนเข้าเยี่ยมชมเว็บคุณแล้วจากไปอย่างไร้ประโยชน์ แจกของให้เขาติดไม้ติดมือไปบ้าง แล้วคุณจะได้ประโยชน์อีกมากมาย

1005037_10152070943252863_1916996284_n

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม